วันเสาร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2556

วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร แห่งความสมปรารถนา

วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร

 

สำหรับ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร เป็นวัดสำคัญที่ตั้งอยู่ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร บางลำภู กรุงเทพฯ เพราะเป็นวัดที่ประทับของพระมหากษัตริย์เมื่อทรงผนวชหลายพระองค์
แต่เดิมชื่อ วัดใหม่ เป็นวัดโบราณ โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ในรัชการที่3 ได้ทรงมีพระดำริโปรดให้สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก และเป็นที่ตั้งของ มหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย
ต่อมาเมื่อถึงแผ่นดินรัชกาลที่ 4 พระองค์ก็ได้ทรงผนวช จึงได้เสด็จมาประทับและทรงตั้งคณะสงฆ์ธรรมยุตติกนิกายขึ้นที่วัดนี้และได้กลายเป็นวัดที่พระมหากษัตริย์องค์ต่อๆมาจนถึงรัชกาลที่ 9 ทรงผนวชที่วัดนี้ ยกเว้นแต่รัชกาลที่ 8 กล่าวกันว่าหากไปไหว้วัดแห่งนี้ จะมีโชคชัยและสมดังที่หวังหรือปรารถนา

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

ความเป็นมาของประเพณีไทยผูกเสี่ยว

ความเป็นมาของประเพณีไทยผูกเสี่ยว 

 

 การผูกเสี่ยวเป็นประเพณีไทยของชาวอีสานที่สืบทอดกันมานานปรากฎหลักฐานในหนังสือที่ถือได้ว่าเป็นวรรณคดีของภาคอีสาน เช่น เรื่องรามเกียรติ์ตอนพญาครุฑคิดถึงเสี่ยว และในเรื่องผาแดงนางไอ่ตอนสอนพญานาคแบ่งเมืองกันปกครองและให้สัญญาต่อกันว่า

สองก็ฮักขอดมั่น(ฮัก=รัก)เหมือนฮ่วมเคหัง(ฮ่วม=ร่วม)การครอบคุณเสี่ยวสหายหลายชั้น จึงได้ขอดมั่นหมายฮ่วมไมตรี(ขอด=กอด)เพื่อจัดเป็นใจเดียวบ่ลอยมายม้าง
การปฎิบัติในการผูกเสี่ยว เดิมเป็นประเพณีไทยระหว่างบุคคลและบุคคลหรือระหว่างครอบครัวต่อครอบครัว คือถ้าพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่มองเห็นว่าบุตรหลานของตนมีรูปร่างลักษณะผิวพรรณ นิสัยใจคอหรือมีความสนิทสนมชิดชอบกับบุตรหลานของใครก็ทาบทามขอผูกเป็นเสี่ยว ตอนทาบทามนี้เรียกว่า แฮกเสี่ยว เมื่อทั้งสองฝ่ายตกลงกันแล้วก็ผูกเสี่ยวให้โดยใช้ด้ายสีขาวผูกข้อมือของแต่ละคนเพื่อให้เป็นสิริมงคลแก่คู่เสี่ยวยิ่งขึ้นบางแห่งก่อนจะผูกเสี่ยวต้องทำพิธีบายศรีสู่ขวัญเสี่ยวก่อนแล้วค่อยใช้ด้ายผูกแขนให้คู่เสี่ยว หลังจากนั้นพ่อแม่หรือญาติผู้ใหญ่ก็ให้โอวาท ให้พรอบรมสั้งสอนให้คู่เสี่ยวมีความรักนับถือกันตลอดพ่อแม่พี่น้องและวงศาคณาญาติของกันและกัน หลังจากนั้นก็เลี่ยงข้าวปลาอาหารกันตามสมควร
การผูกเสี่ยวนิยมผูกกันก็เฉพาะชายกับชาย หญิงกับหญิงเท่านั้นและต้องมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันด้วย

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

ประเพณีไทยอีสานการแห่พระเวสสันดร



ประเพณีไทยอีสานการแห่พระเวสสันดร

เมื่อได้เวลาบ่าย ๔ โมงเศษ ทางวัดจะตีกลองโฮมพระสงฆ์และญาติโยมจะไปรวมกันที่วัด จัดเอาฆ้องกลองและธรรมมาสน์ พร้อมด้วยพระพุทธรูป แห่ไป ณ.ชายป่าใกล้บ้านซึ่งเป็นป่าที่มีดอกไม้เมื่อไปถึงแล้วต่างคนต่างเก็บเอาดอกไม้มา หัวหน้าพาไหว้พระรับศีลและฟังเทศน์ การเทศน์ในพิธีนี้เทศน์เชิญพระเวสสันดรเข้าเมืองจบแล้วก็แห่แหนตีฆ้อง หามพระพุทธรูปและพระสงห์ออกก่อน ขบวนแห่ดูเป็นการสนุกครึกครื้นมาก เมื่อมาถึงศาลาโรงธรรมก็แห่รอบ ๓ รอบแล้วนำดอกไม้ไปบูชาวางไว้ข้างธรรมมาสน์
      เวลาในการเทศน์ ในวันรวมคือวันแห่พระเวส หรือวันก่อนวันเทศน์หลังจากการแห่พระเวสเข้ามาในวัดแล้ว ตอนกลางคืนทางวัดจะตีกลองโฮม ให้ญาติโยมลงมาวัด เพื่อฟังพระเจริญพระพุทธมนต์รับศีล จากนั้นพระจะเทศน์มาไลยหมื่น มาไลยแสน ซึ่งเป็นการไหว้ครูก่อน พิธีสงฆ์ในวันนี้ก็เสร็จ จากนั้นชาวบ้านจะมีการเฉลิมฉลองกัน โดยมีหกรสพคบตลอดคืน
      เวลาประมาณตีสามตีสี่ของวันรุ่งขึ้น ทางวัดจะตีกลองโฮมอีกเพื่อรวมญาติโยมมาฟังเทศน์ เมื่อมาพร้อมกันแล้วก็ทำพิธีแห่ข้าวพันก้อนทำวัตรเช้าอาราธนาศีล รับศีล อาราธนาเทศน์พระเวส จากนั้นพระจะเริ่มเทศน์สังกาศ อาจจะเป็นเวลาตีสี่กว่าๆจบเทศน์สังกาศแล้วก็เข้าสู่ทศพรกัณฑ์หิมพานต์ทานขันธ์ไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงนครกัณฑ์และฉลอง พระเวสหรืออานิสงส์พระเวส ซึ่งเป็นกัณฑ์สุดท้ายการเทศน์ทั้ง 18 ผูก จะใช้เวลาทั้งหมดประมาณ 17-18 ชั่วโมง พระจะสับเปลี่ยนกันขึ้นเทศน์ไม่ขาดสาย

วันอังคารที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2556

ประเพณีไทยอีสานงานบุญ บุญแจกข้าว

ประเพณีไทยอีสานงานบุญ บุญแจกข้าว 

ประเพณีไทยบุญแจกข้าวเป็นการทำบุญเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้ว เฉพาะญาติสนิท เช่น บิดา มารดา ปู่ย่า ตายาย ลุงป้า น้าอา เป็นต้น ปกติจะทำบุญอุทิศให้เมื่อถึงแก่กรรมไปแล้วประมาณไม่เกิน ๑ ปี นานที่สุดไม่เกิน ๓ ปี ซึ่งทำกันเป็นการใหญ่โตเป็นพิเศษ และการทำบุญจะบ่งลงไปเลยว่าทำบุญแจข้าวหาใครคือทำบุญอุทิศให้แก่ใครนั่นเอง การทำบุญแจกข้าวนิยมทำกันหนหนึ่งต่อคนตายคนหนึ่งเท่านั้น นิยมทำกันในเดือนสามและเดือนสี่จะเป็นข้างขึ้นหรือข้างแรมก็ได้และมักจะทำบุญให้ตรงกับวันโกนหรือวันพระ 

ประเพณีไทยการทำบุญแจกข้าวชาวอีสานถือเป็นเรื่องสำคัญมากเพราะถือว่าทุกคนเมื่อถึงแก่กรรมแล้วจะต้องได้กินข้าวแจก หากบุคคลใดเมื่อตากไปแล้วไม่มีใครแจกข้าวให้ เข้าใจกันว่าบุคคลนั้นจะต้องได้รับความอดอยากและไม่ไปผุดไปเกิด วิญญาณจะคงวนเวียนคอยหาข้าวแจกอยู่นั่นเอง ตระกูลใดเมื่อญาติสนิทถึงแก่กรรมไม่ทำบุญแจกข้าวให้มักจะเป็นที่ดูหมิ่นของคนอื่นถูกชาวบ้านนินทาในทางไม่ดี หาว่าเป็นผู้ไม่รู้จักบุญคุณ เป็นคนเห็นแก่ตัวไม่รู้จักเสียสละเพื่อผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว การดำเนินการทำบุญแจกข้าว เมื่อกำหนดงานบุญแล้ว มีการบอกญาติพี่น้องทุกคนและผู้รักใคร่นับถือในหมู่บ้านใกล้เคียง หรือแม้จะไปอยู่คนละหัวเมืองก็บอกให้ทราบ เพื่อจะได้มาร่วมทำบุญโดยพร้อมเพรียงกัน มีการปลูกปะรำไว้สำหรับญาติพี่น้องได้พักอาศัยในขณะมาร่วมทำบุญด้วย พอถึงวันกำหนดวันงานตอนเช้าจะมีการเลี้ยงญาติพี่น้องที่ได้รับเชิญจนอิ่มหนำสำราญตอนกลางวัน มีการจัดตกแต่งเครื่องไทยทาน ซึ่งเรียกว่า ห่ออัฎฐะ คงหมายถึงการจัดอัฐบริขารนั้นเอง มีการถวายอาหารเพลพระภิกษุและเลี้ยงอาหารกลางวันญาติพี่น้องอีกด้วย บางงานมีการบวชนาค ตอนเย็นมีการฟังพระสวดมนต์ตอนกลางคืนมีมหรสพสมโภชตลอดคืน ตอนเช้าถวายอาหารบิณฑบาตและเครื่องไทยทานแต่พระภิกษุสงฆ์ โดยนิมนต์มาที่บ้านของเจ้าภาพ มีพิธีถวายผ้าบังสุกุลเสร็จแล้วฟังเทศน์ กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ตาย และเลี้ยงอาหารแก่ผู้มาร่วมงานอีกครั้งหนึ่งเป็นเสร็จพิธี

ประเพณีไทยอีสานที่เรียกกันว่า แจกข้าง คงหมายถึงนอกจากถวายภัตตาหารและแจกทานแต่พระภิกษุสงฆ์ ยังมีการเลี้ยงอาหารทำนองแจกทานแก่ผู้ไปร่วมงานโดยทั่วถึงกันเป็นพิเศษคือการทำบุญมากกว่าครั้งใดๆนั่นเอง นอกจากบุญแจกข้าวดังกล่าวญาติพี่น้องจะทำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับไปแล้วอีกเล็กๆ น้อยๆ ในบางโอกาศก็ทำได้แล้วแต่ศรัทธา

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2556

ประเพณีไทยแห่เทียนที่อุบลราชธานี


ประเพณีไทยแห่เทียนที่อุบลราชธานี

      ความจริงประเพณีไทยการแห่เทียนมีอยู่ทุกท้องถิ่นและทุกหมู่บ้านของภาคอีสาน แต่ที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงที่จังหวัดอุบลราชธานีก็เพราะที่นั่นมีการจัดประกวดแข่งขันความสวยงามทั้งต้นเทียนและขบวนแห่และมีองค์กรส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยเข้าไปส่งเสริมด้วย ทำให้การแห่เทียนที่จังหวัดอุบลราชธานีเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ทั้งๆ ที่ที่จังหวัดร้อยเอ็ด นครราชสีมา ขอนแก่น เป็นต้น ก็ได้ทำกันมาคล้ายๆกัน เมื่อที่อุบลฯเป็นที่รู้จักจึงเป็นประหนึ่งว่าจังหวัดอุบลฯเป็นจะเริ่มแรก
      หากศึกษาประวัติความเป็นมาของประเพณีไทยการแห่เทียนที่อุบลฯก็จะเห็นว่าชาวอุบลฯได้มีการแห่เทียนมาตั้งนานแล้วคือราวประมาณ พ.ศ.๒๔๘๐ มีช่างคนหนึ่งชื่อ นายโพธิ์ ส่งศรี (ช่างตีทอง คนโท ขันน้ำ) เป็นช่างที่มีความรู้ความสามารถในการทำลวดลาย ได้เป็นช่างหล่อ ปั้นและออกแบบทำลวดลายลงในลำเทียนใหญ่ ทำให้เทียนมีความสวยงามและนำไปถวายที่วัดปัฎวนารามวรวิหารเป็นครั้งแรก ในการนำไปถวายนั้นต้องใช้คนจำนวนมากช่วยกันเคลื่อนย้ายและมีชาวบ้านแห่ตามไปด้วยทั้งไปดูพิธีกรรมดูความสวยงามของเทียนและไปร่วมบูชาด้วย      เมื่อมีคนเป็นจำนวนมากจึงมีผู้คิดทำให้ขบวนดูมีระเบียบด้วยการจัดแถวจัดขบวน ทำให้การเดินดูมีความสวยงามนั่นเองคือสาเหตุของการแห่เทียนของชาวอีสานในกาลต่อมา
      ต่อจากนั้นคุ้มวัดต่างๆก็เริ่มจัดหล่อต้นเทียนใหญ่กันและนำไปถวายที่วัด คุ้มของตนเองและมีการจัดขบวนแห่ติดตามไปด้วย เมื่อแต่ละคุ้มต่างจัดกันอย่างนั้นแล้ว ทางราชการเห็นความสามัคคีของแต่ละคุ้มดีจึงได้ประกาศให้มีการประกวดต้นเทียนและขบวนแห่กันในราวปี พ.ศ.2483 โดยแต่ละคุ้มต้องแห่เทียนไปไว้ที่ศาลากลางก่อนเพื่อให้กรรมการตัดสิน แต่การประกวดครั้งแรกๆ จะประกวดเฉพาะต้นเทียนเท่านั้น

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีไทยเสี่ยงนางด้ง


ประเพณีไทยเสี่ยงนางด้ง

การเสี่ยงนางด้ง นิยมทำเมื่อฝนแล้งเพื่อเป็นการขอฝน และเสี่ยงทายว่าฝนจะตกหรือไม่และถ้าตกจะตกเมื่อใด นอกนี้อาจจะถามแม่นางด้งอย่างอื่นอีก เช่น ถามในเรื่องของหายตลอดจนโรคภัยไข้เจ็บ เป็นต้น
ประเพณีไทยเสี่ยงนางด้ง วิธีการเสี่ยงนางด้ง หากระด้งมา ๒ คู่ ซึ่งต้องเป็นของแม่หม้าย(ผัวตาย)จัดเครื่องบูชาครูได้แก่ เทียนและดอกไม้อย่างละ ๑ คู่ กระจก หวีสร้อยคอ กำไลแขน กำไลขาอย่างละ ๑ อัน และข้าวเหนียว ๑ ก้อน สร้อยคอ สร้อยแขน กำไลขา ทำด้วยก้านใบหมากเยา(ต้นสบู่) เอาสิ่งของดังกล่าวใส่กระด้งและเอากระด้งประกบหรือหันหน้าเข้าหากันมีเครื่องบูชาอยู่ข้างใน เอาไม้คานมาทาบกระด้งเป็นคู่ไขว้กันเป็นตีนกา มัดไม้คานแต่ละคู่ติดกับกระด้งให้แน่น นอกนี้มีเครื่องคาย ได้แก่ บายศรีพร้อมพาเสื้อพาผ้า ขันห้า ขันแปด คือ เทียนและดอกไม้อย่างละห้าคู่และแปดคู่ สุรา ๑ ขวด ไข่ต้ม ๑ ฟอง สากแม่หม้าย ๑ อัน เอาเครื่องเหล่านี้วางบนพาเสื้อพาผ้าตอกหลัก ๒ หลักสองข้างกระด้ง สมมุติให้เป็นหลักฝน ๑ หลัก และหลักแล้ง ๑ หลัก พอเตรียมเสร็จวาง กระด้งไว้ระหว่างหลักแล้วให้ผู้หญิง ๒ คน ซึ่งเป็นลูกหัวปีคนหนึ่งและลูกคนสุดท้องคนหนึ่ง นั่งหันหน้าเข้าหากันจับกระด้งตั้งชันขึ้นจากพื้นให้ไม้คานคู่หนึ่งตั้งชันกับพื้นดินอีกคู่หนึ่งกางออกไป ๒ ข้างคล้ายแขน มือทั้งสองของแต่ละคนจับไม้คานครงขอบกระด้งที่คล้ายเป็นโคนแขนทำพิธีป่าวสัคเคฯลฯ บอกกล่าวเทวดาและวิญญาณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เข้ามาสิงกระด้งและขอให้ช่วยดลบัลดาลให้ฝนตกและดลบันดาลสิ่งอื่นๆตามที่ร้องขอ
หลังจากเตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วเริ่มประเพณีไทยนางด้งด้วย หันหน้าพาว่าคำเซิ้งเป็นวรรคๆ ส่วนคนอื่นที่เป็นลูกคู่ว่าตามพร้อมๆกันหลายๆ จบจนกว่าดวงวิญญาณจะมาสิงกระด้งคือกระด้งจะเต้นหรือเคลื่อนที่ แต่ถ้าว่าคำเซิ้งหลายจบแล้วกระด้งยังไม่เคลื่อนที่ก็ให้เปลี่ยนคนคู่ใหม่จัดกระด้ง เมื่อกระด้งเต้นหรือเคลื่อนที่ได้แสดงว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาสิงกระด้งแล้ว ต่อไปก็มีการถามหรือทายกันเกี่ยวกับฝนเช่น ถามว่าฝนจะตกหรือไม่ถ้าฝนตกแม่นางด้งจะตีหลักฝน ถ้าหากตีหลักแล้งแสดงว่าฝนจะแล้ง ถ้าแม่นางด้งทำการขุดร่องหลายๆครั้ง ซึ่งชาวอีสานเรียกว่า ก่วยหล่อ หมายความว่า ฝนจะตกในเร็ววันนี้และตกหนักด้วย อาจถามอีกว่าฝนจะตกเมื่อไร ขึ้นหรือแรมกี่ค่ำ และอาจถามอย่างอื่นอีก

วันพุธที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ประเพณีไทยการสวดคาถาปลาค่อ


ประเพณีไทยการสวดคาถาปลาค่อ

ประเพณีไทยการสวดคาถา ปลาค่อ ปลาค่อ หมายถึง ปลาช่อน การสวดคาถาปลาค่อเป็นการทำบุญพิธีขอฝนอย่างหนึ่งของชาวอีสาน ซึ่งควรศึกษาเรียนรู้ประเพณีนี้เอาไว้ประดับความรู้

ประเพณีไทย
ครั้งที่พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพญาปลาค่อ(ปลาช่อน) อาศัยอยู่ในสระแห่งหนึ่ง คราวหนึ่งเกิดฝนแล้ง น้ำในแม่น้ำลำธารตลอดหนองบึงได้แห้งไปทั่วหมด ทำให้บรรดาสัตว์น้ำทั้งหลาย มี ปลา ปู กุ้ง หอย เป็นต้น ได้รับความทุกข์ทรมานมาก เพื่อเป็นการช่วยสัตว์น้ำทั้งหลาย พระโพธิสัตว์จึงได้แหวกโคลนขึ้นมา ลืมตาแหงนดูท้องฟ้า แล้วกระทำสัจกิริยา แล้วประกาศว่า ข้าพเจ้าถือกำเนิดมาเป็นปลา เป็นผู้ถือศีล ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยได้กินสัตว์เหล่าอื่นเลยแม้แต่ครั้งเดียว ด้วยคำสัตย์นี้ ขอฝนจนตกลงมา ทำให้หมู่ปลาและสัตว์น้ำทั้งหลายพ้นจากทุกข์เถิด พอกล่าวจบถึงกล่าวคำคาถาขอฝน เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวคาถาจบ บันดาลให้ฝนตกลงมาห่าใหญ่ น้ำเจิ่งนองไปเต็มห้วยหนอง สัตว์น้ำทั้งหลายจึงพ้นภยันตรายจากฝนแล้ง ตามความเชื่อถือแต่โบราณจึงเชื่อว่า หากได้ทำบุญและสวดคาถาปลาค่อแล้ว จะช่วยทำให้ฝนตกมาได้
ประเพณีไทยภาคอีสานการสวดคาถาปลาค่อ ก่อนจะเริ่มพิธีกรรมจะต้องเตรียมจัดหาเครื่องสักการบูชาซึ่งมีเทียน ๕ คู่ ดอกไม้ ๕ คู่ และเครื่องไทยทานเตรียมสถานที่อาจจัดเอาที่ใดที่หนึ่งในหมู่บ้านที่เห็นว่าเหมาะสม อาจปลูกปะรำขึ้นเป็นพิเศษก็ได้ ตอนเย็นนิมนต์พระสงฆ์อย่างน้อย ๕ รูป มาเจริญพระพุทธมนต์เป็นเวลาสามวัน โดยสวดบทสวดเจ็ดตำนานย่อแล้วสวดคาถาปลาค่อให้ได้ ๑๐๘ คาบ หรือตามกำหนดวันคือวันอาทิตย์ ๖  จันทร์ ๑๕ อังคาร ๘ พุธ ๑๗ พฤหัสบดี ๑๙ ศุกร์ ๒๑ เสาร์ ๑๐ ก็ได้ ในช่วงเช้ามีการถวายภัตตาหารตามประเพณีจนครบสามวันเป็นเสร็จพิธี